ความรู้พื้นฐานสายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic)
ไฟเบอร์ออฟติกหรือสายใยแก้วนำแสง คือสายนำสัญญาณที่ใช้แสงในการสื่อสาร ส่ง-รับ ข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
ซึ่งไฟเบอร์ออฟติกสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบคือ
-Glass Fiber เป็นสายไฟเบอร์ที่ทำจากแก้วบริสุทธิ์ มีการรับส่งข้อมูลที่ให้ประสิทธิภาพสูง ส่งได้ในระยะทางไกล
และมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูงมาก แต่จะมีข้อเสียคือ การตัด การเชื่อมต่อต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง และมีราคาสูง
-Plastic Fiber เป็นสายไฟเบอร์พลาสติก ข้อดีของสายประเภทนี้คือ การตัด เชื่อมต่อสายทำได้ง่าย ราคาไม่แพง
แต่ข้อสียคือจะไม่ทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง
สายไฟเบอร์ออฟติก ประกอบขึ้นมาจากวัสดุที่เป็น
1. แก้ว (Glass Optical Fiber)
2. พลาสติก (Plastic Optical Fiber)
3. พลาสติกผสมแก้ว (Plastic Clad Silica ,PCS)
ชนิดของสาย Fiber Optic
สามารถแบ่งสายสัญญาณนี้ออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ สายชนิด Single-mode fiber และ สายชนิด Multi-mode fiber
Single-mode fiber
สายใยแก้วนำแสงชนิด Single-mode fiber (SMF) เป็นสายใยแก้วชนิดที่สามารถรับส่งสัญญาณแสงเพื่อแปลงเป็นข้อมูลได้ในระดับ 1,310 นาโนเมตร และ 1,550 นาโนเมตร โดยในการใช้งานจริง จะสามารถส่งข้อมูลได้ 200 กิโลเมตร ด้วยความเร็วที่ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบิท / วินาที สาย Single-mode fiberขนาด 9/125 µm (OS1, OS2) หมายความว่า
● เส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นใยอยู่ที่ 8-10 ไมครอน
● เส้นผ่าศูนย์กลางของเปลือกหุ้มสายอยู่ที่ 125 ไมครอน
LASER ใช้กับประเภท Single Mode สามารถรองรับแบนด์วิธได้มากที่สุด เพราะมีความกว้างของสเปกตรัมที่น้อยที่สุด
Multi-mode fiber
สายใยแก้วนำแสงชนิด Multi-mode fiber (MMF) เป็นสายส่งสัญญาณอีกประเภทหนึ่งที่มีช่วงรับส่งข้อมูลที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับชนิด Single-mode fiber โดยจะอยู่ที่ช่วง 850 นาโนเมตร และ 1,300 นาโนเมตรเท่านั้น จึงทำให้สายส่งสัญญาณชนิดนี้เหมาะสำหรับการใช้งานภายในอาคารขนาดเล็ก โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 100 ล้านบิท / วินาที ในระยะทางที่ไม่เกิน 200 เมตร
อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดเด่นของสาย Fiber Optic ชนิด Multi-mode fiber ที่ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลได้มากกว่า 1 รูปแบบภายใน 1 รอบด้วยระยะสัญญาณที่สั้นกว่า จึงทำให้รับส่งข้อมูลที่ทับซ้อนกันได้ดี โดยขนาดของแก้วแกนกลาง หรือ Core ในสายใยแก้วนำแสงแบบ Multi-mode fiber จะมีมากกว่าสายใยแก้วนำแสงแบบ Single-mode fiber
Multi mode จะมีขนาด Core ในปัจจุบันอยู่ 2 ขนาด และ 5 ประเภทคือ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
● ขนาด 62.5/125 µm (OM1)
○ เป็นสายสีส้ม
○ ใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ LED
○ รองรับค่าความกว้างของช่องสัญญาณ (Bandwidth) ได้ที่ 200MHz*km
○ สามารถรองรับอีเธอร์เน็ตได้ 10 กิกะบิต (Gigabit)
● ขนาด 50/125 µm (OM2)
○ เป็นสายสีส้มหรือสีเทา
○ ใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ LED
○ รองรับค่าความกว้างของช่องสัญญาณได้ที่ 500MHz*km
○ สามารถรองรับอีเธอร์เน็ตได้ 10 กิกะบิต
● ขนาด 50/125 µm (OM3)
○ เป็นสายสีฟ้า
○ ใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบเลเซอร์ (VCSEL)
○ รองรับค่าความกว้างของช่องสัญญาณได้ที่ 2,000MHz*km
○ สามารถรองรับอีเธอร์เน็ตได้ 10, 40 และ 100 กิกะบิต
● ขนาด 50/125 µm (OM4)
○ เป็นสายสีฟ้า หรือสีม่วงชมพู
○ ใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบเลเซอร์
○ รองรับค่าความกว้างของช่องสัญญาณได้ที่ 4,700MHz*km
○ สามารถรองรับอีเธอร์เน็ตได้ 10 กิกะบิต และ 100 กิกะบิต
● ขนาด 50/125 µm (OM5)
○ เป็นสายสีเขียว
○ ใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบเลเซอร์
○ รองรับค่าความกว้างของช่องสัญญาณได้ที่ 28,000MHz*km
○ สามารถรองรับอีเธอร์เน็ตได้ 200 และ 400 กิกะบิต
ซึ่งขนาดของแก้วแกนกลางของสายใยแก้วนำแสงแบบ Multi-mode fiber ส่วนใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางของสายอยู่ที่ 50 ไมครอน (50 µm) มีเพียงสายใยแก้วนำแสงชนิด OM1 ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 62.5 ไมครอน (62.5 µm) ส่วนเส้นผ่านศูนย์กลางของเปลือกหุ้มสายทุกชนิดมีขนาดอยู่ที่ 125 ไมครอน (125 µm)
- LED ใช้กับประเภท MultiMode ซึ่งรองรับแบนด์วิธได้น้อยที่สุด เพราะมีความกว้างของสเปกตรัมที่ใหญ่ที่สุดนั่นเอง
- VCSEL ใช้กับประเภท MultiMode สามารถรองรับแบนด์วิธได้มากกว่า LED จึงทำให้มีความกว้างของสเปกตรัมแคบกว่า
สายนำสัญญาณที่ใช้ลำแสงในการรับส่งข้อมูล ซึ่งแบ่งโครงสร้างได้ 3 ส่วน คือ
- Core ส่วนตรงกลางซึ่งทำจากซิลิกา เป็นพื้นที่ส่งผ่านแสงของ Fiber
- Cladding เป็นชั้นแรกที่ห่อหุ้ม core มีหน้าที่สร้างท่อนำแสง ตลอดจนแนวทางการเคลื่อนที่ของแสง
- Coating เป็นชั้นที่อยู่นอกสุด ห่อหุ้ม Cladding ทำหน้าที่คอยปกป้องไม่ให้เกิดความเสียหาย
- Tight Buffer คือ ส่วนป้องกันของสายใยแก้วที่มีวัสดุประเภทฉนวนห่อหุ้มแกนชั้นนอกอย่างแน่นหนาอยู่ มีคุณสมบัติช่วยป้องกันแสงจากภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนการรับส่งสัญญาณ
การเชื่อมต่อสายไฟเบอร์โดยทั่วไปมี 2 แบบ คือ
1.Fusion Splice
วิธีนี้เป็นการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่าง core ไฟเบอร์เข้ากับ core ไฟเบอร์ โดยการ Fusion ซึ่งจะใช้เครื่องมือเชื่อมต่อเฉพาะทาง นั่นคือเครื่อง Fusion Splicer เป็นการเชื่อมต่อที่รวดเร็วที่สุด และมีค่า loss น้อยที่สุด
2. Direct Termination มี 3 แบบ
2.1 เป็นการเข้าหัวแบบใช้กาวหลอมร้อนและทำการขัดหัวคอนเน้คเตอร์ด้วยเครื่องขัดหัวไฟเบอร์ออฟติค
2.2 เป็นการเข้าหัวแบบใช้กาวแบบแห้งเร็วและทำการขัดหัวคอนเน้คเตอร์ด้วยเครื่องขัดหัวไฟเบอร์ออฟติค
2.3 เป็นการเข้าหัวแบบไม่ใช้กาวและไม่ต้องขัดหัวไฟเบอร์ออฟติค แต่จะใช้เครื่องมือแบบสำเร็จรูปแทน